Forlifemusic.com

เพลง​ ไฟ​ (สุดท้ายก็ตายหมด)​

เพลง​ ไฟ​ (สุดท้ายก็ตายหมด)​

ศิลปิน โอ๊ะ นวภาพ
ดนตรี โอ๊ะ นวภาพ
คำร้อง ทำนอง อิศเรส
ไฟมันร้อน ไฟมันแรง ไฟมีแสงช่างยั่วยวนใจ
ภมรบินวนหลงกลแสงไฟ ตกเข้าไปในกองพระเพลิง
มารยาหญิงมารยาเธอ มารยาพะเรอเป็นร้อยเล่มเกวียน
ชายลุ่มหลงผลัดกันวนเวียน ถูกกงเกวียนเฆี่ยนใจแหลกราน
*** หมู่มวลภมรทั้งมนุษผู้ชาย
ต่างลุ่มต่างหลงในแสงไฟสตรี
อยู่ในวังวนของโลกัณโลกี
คงเป็นเช่นนี้จนชั่วกัปชั่วกัลป์
สุดท้านก็ตายหมด ถ้ายังคงหลงในสาวสวย
สุดท้านก็ตายหมด ถ้ายังคงหลงในแสงสี

มวลภมรหลงเข้าในอัคคี ชายชาตรีหลงเข้าในใจเธอ
ดท้ายก็ตายหมด

เพลง ดอกฟ้ากากี


เพลง ดอกฟ้ากากี
ศิลปิน โอ๊ะ นวภาพ
ดนตรี โอ๊ะ นวภาพ
คำร้อง ทำนอง อิศเรส

ทำใจไม่ได้ หากจะให้เลิกสนใจ
ถึงเธอทำฉันเจ็บช้ำปานใด หัวใจมันยังพร่ำหา
เธอเคยขับไล่ไสส่งเหมือนหมูหมา
แต่วันนี้เธอก็กลับมาร้องหาอ้ายหมาตัวปอน

ทั้งที่รู้อยู่ ยามที่เธอไม่มีใคร
มักคิดถึงฉันเป็นคนสุดท้าย มากมายแก้ตัวคำวอน
แกล้งโง่แกล้งเซ่อ ออเออคำบังอร
หยาดน้ำตาทำฉันใจอ่อน ตัวหล่อนรู้จุดอ่อนดี

รู้ตัวดีว่าเป็นได้แค่ ไอ้หมาหมาที่คอยดูแล
ปกป้องคุ้มภัยคนดี รอธรรพ์บุรุษ
พญาครุฑสง่าราศรี
วันนั้นดอกฟ้ากากีคงจะหนีพี่ไปอีกครา

แค่เพียงชั่วครู่เพียงชั่วคราวใกล้ชิดเธอ
ความสุขนี้มันปริ่มล้นจนเอ่อ
ฉันเผลอไม่คิดวันหน้า
เข้าข้างตัวเองคงต่างครั้งผ่านมา
ใจลึกๆนั้นหวังเพียงว่าของามตาอยู่นานกว่าเดิม
เข้าข้างตัวเองคงต่างครั้งผ่านมา
ใจลึกๆนั้นหวังเกินไปว่าของามตาอย่าจากไปเลย

เพลง สาวชานเมือง



เพลงสาวชานเมือง

ศิลปิน​ อิศเรส
คำร้อง​ ทำนอง​ อิศเรส
เรียบเรียง​ ดนตรี​ โอ๊ะ​ นวภาพ

พี่หนุ่มบ้านนา เข้ามาหางานทำในเมือง
ได้พบแม่สาวชานเมือง ก่อนเข้าเมืองแดนศิวิไล
ผมเจ้าแดง ตาเจ้าคม คล้ำคราบเหงื่อไคล
แม่ค้า บัวลอยบางใหญ่ ที่ใครๆก็ต่างหมายปอง

*เจ้าเล่าเรื่องเมือง ถิ่นประเทืองเมืองตึกเป็นกอง
มีงานให้พี่จับจอง พี่จะลองฟังเจ้าสักครา
โบกปูนไหม เป็นช่างไฟ ช่างน้ำประปา
เด็กเสริฟ นักร้องเขาว่า ตัวพี่ยานั้นต้องเสียงดี

ได้ฟังฟังคำ คำเจ้านั้น พี่จำขึ้นใจ
ใครหลงเข้าในเมืองใหญ่ ใครเข้าไปเขาไม่กลับมา
เชื่อพี่เถิดน้อง ตัวพี่ชายไม่หลงหรอกหนา
จากเมืองหน้านาปีหน้า พี่จะพาเจ้ากลับบ้านเรา

เพลง ที่รัก ที่ มากกว่าคำว่า ที่รัก


เพลง ที่รัก
ขับร้องโดย : ชรินทร์ นันทนาคร
คำร้อง/ทำนอง : สุนทรียา ณ.เวียงกาญจน์ – สมาน กาญจนผลิน
บันทึกเสียงครั้งแรกปี พ.ศ. 2497

นานแล้วพี่หลงพะวงมิหน่าย นานแล้ว พี่หมายจะได้ภิรมย์
นานแล้วพี่พี่รักคอยจักชื่นชม นานแล้วรักเพียงลมลมตรมเช้าค่ำ

ที่รักน่ะรักแต่ใจมิกล้า ที่ช้าน่ะช้ามิกล้าเผยคำ
ที่คิดน่ะคิดกลัวอกจะช้ำ เอ่ยคำแล้วเจ้าจะทำช้ำใจ

อย่าเหมือนน้ำค้างพราวพร่างใบพฤกษ์ พอยามดึกเหมือนดังจะดื่มกินได้
พอรุ่งรางก็จางหายไป รู้แน่แก่ใจได้แต่ระทมชีวี

ที่รักน่ะรักเพราะเทพเสริมส่ง ที่หลงน่ะหลงเพราะเจ้าแสนดี
ที่หวงน่ะหวงเพราะสวยอย่างนี้ กลัวใครเขามาแย่งพี่ไปเอย

หลายๆท่านมักใช้คำเรียก แฟน คนรัก หรือภรรยา ว่า ” ที่รัก ” แต่ความหมายของเพลง ที่รัก แต่งคำร้องโดย อ.สุนทรียา นี้มิได้หมายความเช่นนั้นอย่างเดียว โดยเนื้อความรวมของเพลงยังหมายถึงสาเหตุ “ที่รัก” ด้วย
รูปลักษณ์โครงสร้างของเพลง เป็นลักษณะ กลอนแปด จำนวน 4 บท ที่มีสัมผัสนอกสัมผัสในพร้อมพรั่ง เรียกได้ว่าแค่อ่านเฉยๆไม่ต้องขับร้องก็ยังน่าฟัง จึงไม่น่าแปลกใจว่าเพลงนี้จึงมีการบันทึกเสียงจากศิลปินรุ่นต่อๆมามากมาย อีกทั้งเมื่อมีการประกวดเพลงลูกกรุงก็จะนำมาร้องบนเวทีประกวดอย่างสม่ำเสมอ
เนื้อความของเพลง เป็นการเล่าเรื่องที่เฉียบขาดมาก เหมือนไปเล่าเรื่องต่อหน้าสาว พร่ำพรรณาว่ากันตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน มีการดักทางสาวเจ้า พี่รักเจ้าจริงมานานแล้วหนาอย่าปันใจไปให้ใครอื่น ซึ่งในท่อนนี้ อ.สุนทรียา ได้ซ่อนบทเปรียบเปรยกับโมรา เอาไว้ด้วย

นานแล้วพี่หลงพะวงมิหน่าย นานแล้ว พี่หมายจะได้ภิรมย์
นานแล้วพี่รักคอยจักชื่นชม นานแล้วรักเพียงลมลมตรมเช้าค่ำ


เริ่มต้นเล่าเรื่องอดีตก่อน หลงรัก พะวง​ (กังวล)​ หวังว่าจะมีเรื่องยินดี(ภิรมย์)​ แต่เฉยซะอย่างนั้น ถึงกับไม่เป็นอันกินอันนอน เพียงลมลม มาจากสำนวนไทยลมๆแล้งๆ ประมาณว่าแทบเป็นไปไม่ได้ อันนี้หลายๆท่านที่อายุขึ้นเลขห้าเลขหกขึ้นไป คงเข้าใจหัวอกลูกผู้ชายกับรักแรกกันดีว่า ตรมเช้าค่ำ เป็นอย่างไร เพราะสมัยก่อนนั้นการที่จะได้พบคนรัก ต้องมาหากันหรือติดต่อทางจดหมายเท่านั้น ในยุคที่โทรศัพท์สาธารณะยังต้องต่อแถวโทร จึงได้แต่จินตนาการถึงคนรัก ได้แต่ติดถึง

ที่รักน่ะรักแต่ใจมิกล้า ที่ช้าน่ะช้ามิกล้าเผยคำ
ที่คิดน่ะคิดกลัวอกจะช้ำ เอ่ยคำแล้วเจ้าจะทำช้ำใจ


บทนี้ใกล้นางเข้ามาหน่อย เรียกที่รักแล้ว ได้อยู่ต่อหน้าแต่ยังไม่พูดบอกรักที่มีต่อเธอ กลัวไปหมด

อย่าเหมือนน้ำค้างพราวพร่างใบพฤกษ์ พอยามดึกเหมือนดังจะดื่มกินได้
พอรุ่งรางก็จางหายไป รู้แน่แก่ใจได้แต่ระทมชีวี


” น้ำค้าง เกิดจากความชื้นในอากาศที่จับตัวกันกลายเป็นหยดน้ำ จะเกิดในเวลากลางคืน เนื่องจากอุณหภูมิต่ำ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแสงแดดส่องความร้อนจะทำให้น้ำค้างระเหยไปหมดสิ้น ”

มาถึงช่วงสำคัญ ท่อนแยก ซึ่งเป็นท่อนที่ดนตรีต่างจากท่อนอื่นและกลับร้องซ้ำ เนื้อความเป็นการดักทางโดยการดัดแปลงบทกลอนใน นิทานคำกลอนเรื่องจันทโครบ ที่แต่งโดยกวีเอกรัตนโกสินทร์ ท่าน สุนทรภู่ ขออนุญาตยกบทกลอนบางช่วงนำมาประกอบบทความ

” พระคุณพี่มีมาแก่เจ้ามาก ถึงยามยากมิให้ช้ำระสํ่าระสาย
เจ้าร้องไห้ใจพี่จะขาดตาย เลือดในกายพี่ยังรองให้น้องกิน
เมื่อเดินไพรพี่ก็ใส่สะเอวอุ้ม เจ้าควรคุมฆ่าผัวไม่ผันผิน
ไปยื่นดํ้าให้อ้ายโจรใจทมิฬ โอ้ยุพินพี่พึ่งรู้ประจักษ์ใจ
อารมณ์นางเหมือนนํ้าค้างที่ร่มพฤกษ์ เมื่อยามดึกดั่งจะรองไว้ดื่มได้
พอรุ่งแสงสุริยฉายก็หายไป มาเห็นใจเสียเมื่อใจจะขาดรอน

เมื่อแรกรักมิได้แหนงเสียแรงรัก เสียดายศักดิ์ที่ได้ร่วมสโมสร
ขอฝากชื่อไว้ให้ลือขจายจร เทพนิกรช่วยประกาศในโลกา
กุลบุตรเป็นบุรุษรักษาศักดิ์ อย่าเรียนรักนารีเหมือนเยี่ยงข้า
สิ้นประกาศขาดจิตจากอุรา ก็มรณาอยู่ในไพรพนม ฯ “

ที่มา นิทานคำกลอนสุนทรภู่เรื่องจันทโครบ

ถ้าเพียงดูเผินเผินก็เป็นเพียงการดักทาง เปรียบเปรยธรรมดา เธออย่าเป็นอย่างเช่นน้ำค้าง น้า แต่ถ้ามองกันให้ลึกๆ ถ้าเธอทิ้งฉันเปรียบเสมือนเธอเป็น นางโมรา เลยนะจะบอกให้ เพราะจันทโครบก็เคยพูดแบบนี้ไว้ ( เธอจะกล้าไหมล่ะ )

ที่รักน่ะรักเพราะเทพเสริมส่ง ที่หลงน่ะหลงเพราะเจ้าแสนดี
ที่หวงน่ะหวงเพราะสวยอย่างนี้ กลัวใครเขามาแย่งพี่ไปเอย

มาถึงบทสุดท้ายด้วยการปลอมใจ ชมเชย หวงแหน ขึ้นต้นก็อ้าง เทพ กันเลยที่เดียว เข้าใจว่าเทพ ในที่นี้คือกามเทพ เทพแห่งความรักแผงศรมาปักกลางใจพี่ อีกทั้งน้องก็เป็นคนดี และสวยด้วย เลยทั้งรักทั้งหวง

ทั้งหมดนี้คือสาเหตุ “ที่รัก” เธอ เรียกเธอว่า “ที่รัก”

ตังเก สุดยอดเพลงเพื่อชีวิตของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ

เพลงตังเก
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
(พ.ศ. 2533 อัลบั้มคนจนรุ่นใหม่)
ฉันเกิด อยู่แดน อีสาน ถิ่นกันดารที่เขา ดูหมิ่น ดูแคลน
จากไกลไปหากินต่างแดน ก็อาลัยแสนเมื่อจำต้องพรากบ้านมา

ร่อนเร่ พเนจรไป เหมือนนกไพรไร้พง พนา
ไม่ได้จับไถ เลยไปจับปลา ไม่ได้ทำนา เลยมากับ เรือ ตังเก

แรกแรก ก็กลัวหลายหลาย ต้องเมามาย คลื่นโอ ละเห่
คิดถึงแม่ ที่เคยไกวเปล โอ้เปลน้อย คือเรือตังเก มีแม่ทะเล กล่อมนอน แรงแรง

แม่ โมโหใครมา หรือเป็นตำรา ให้ลูกแข็งแกร่ง
ลูก ขอปู ขอปลา มากมากเถิดหนา พอเป็น ค่าแรง
ทะเล มันถมไม่เต็ม เหมือนคนใจเค็ม ที่คอยยื้อแย่ง
คนจน ก็ถมไม่เต็ม แต่ใจไม่เค็ม ทำงานเข้มแข็ง
อยากมีเรือสักลำ จะพาคนงามที่คิด จะแต่ง
ลอย ล่อง ลำ นาวา ให้ปลาอิจฉา เวลา คลื่น แรง

ถ้าจะว่าเพลงเพื่อชีวิตกำลังจะตาย ก็ว่าได้แต่ผมว่าควรใช้ว่าเพลงเพื่อชีวิต “กำลังจะกลาย” มากกว่า เนื่องด้วยบุคคลากรที่มีคุณภาพของวงการไม่อาจทานต่อกระแสนิยมในปัจจุบันได้ ทำให้นักแต่งเพลงเก่งๆหลายคนต้องปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอจากคำว่าเพื่อชีวิตเป็น”ลูกทุ่งเพื่อชีวิต” อีกทั้งศิลปินเพื่อชีวิตทั้งหลายก็ไม่มีเพลงดีๆให้ได้ฟังกัน ศิลปินรุ่นใหม่ก็ยังไม่เห็น ทำให้ลมหายใจของเพลงเพื่อชีวิตโรยรินลงทุกขณะ คงต้องรอความหวังจากใครสักคนที่มีเพลงดีๆจุดประกายชูธงเพื่อชีวิตให้โชติช่วงอีกครั้งเหมือนที่คาราบาวเคยทำในชุดเมดอินไทยแลนด์เมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา 

เกริ่นนิดหน่อยนะครับเผื่อใครเกิดไม่ทัน มาว่ากันที่เพลงตังเก ที่กล่าวว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดของน้าหมูเพราะ ดนตรี เสียงร้อง เนื้อร้อง กลมกลืนอย่างลงตัว เสียงดนตรีที่เหมือนงานแห่นาคเข้าโบสถ์โดนใจคอเพื่อชีวิตอย่างจัง เสียงร้องที่น่ารักหน้าชังฟังแล้วไม่มีเบื่อ ทีนี้ลองมาว่ากันเรื่องเนื้อร้องนะครับ

เล่าเรื่องเกิดที่ไหน ไปไหน ทำอะไร รู้สักยังไง ครบรส รัก เศร้า คิดถึง หวัง อีกทั้งสัมผัสนอกในมีให้เห็นทั้งเพลงยิ่งเพิ่มความไพเราะน่าฟังเข้าไปอีก ยกบางท่อนของเพลงมาดูนะครับ 


“ฉันเกิด อยู่แดน อีสาน ถิ่นกันดารที่เขา ดูหมิ่น ดูแคลน
จากไกลไปหากินต่างแดน ก็อาลัยแสนเมื่อจำต้องพรากบ้านมา”
ขึ้นเพลงมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ถิ่นอีสานบ้านเฮา ไม่มีงานให้ทำจำต้องย้ายไปหางานที่ภาคใต้
( ซึ่งต่อมาในปี 2539 น้าหมูได้ออกเพลง สถาพร คนใต้ย้ายมาทำงานภาคอีสานบ้าง )

” จากไกลไปหากินต่างแดน ก็อาลัยแสนเมื่อจำต้องพรากบ้านมา “
คิดถึงบ้านจังเลย

“ไม่ได้จับไถ เลยไปจับปลา ไม่ได้ทำนา เลยมากับ เรือ ตังเก”
ท่อนนี้เล่นคำหน้าหลังใช้คำเดียวกัน ลองร้องดูซิครับเพราะดี

” คิดถึงแม่ ที่เคยไกวเปล โอ้เปลน้อย คือเรือตังเก มีแม่ทะเล กล่อมนอน แรงแรง”
เปรียบเปรยเปลที่แม่ไกวกับเรือที่โล้ไปโล้มา ทะเลเป็นแม่กล่อมลูกที่เป็นเรือ ( คิดได้ยังไง ) 

” แม่ โมโหใครมา หรือเป็นตำรา ให้ลูกแข็งแกร่ง
ลูก ขอปู ขอปลา มากมากเถิดหนา พอเป็น ค่าแรง “
พอเรือเรื่อมโคลงมากลูกก็ไม่โกรธกลับคิดเป็นบททดสอบชีวิต แต่ขอสักหน่อย

” ทะเล มันถมไม่เต็ม เหมือนคนใจเค็ม ที่คอยยื้อแย่ง
คนจน ก็ถมไม่เต็ม แต่ใจไม่เค็ม ทำงานเข้มแข็ง “
อันนี้ก็ตำหนิ( คาดว่าเป็นเถ้าแก่เจ้าของเรือที่ให้ค่าแรงน้อย )นิดหน่อยพอหอมปาก หอมคอ

” อยากมีเรือสักลำ จะพาคนงามที่คิด จะแต่ง
ลอย ล่อง ลำ นาวา ให้ปลาอิจฉา เวลา คลื่น แรง “
คงไม่มีใครอยากเป็นลูกจ้างไปตลอดชีวิต อยู่กลางทะเลมันเหงาๆก็คิดถึงแฟนเป็นธรรมดา เวลาคลื่นแรงๆเรือจะโต้คลื่นไงครับหนุ่มสาวที่อยู่บนเรื่อก็จะโอนไปเอนมาหนุมก็กอดกันไม่ให้ล้ม มันน่าอิจฉาไหมละ

เป็นความชอบส่วนตัวเลยขออนุญาติถ่ายทอดความรู้สึก และมุมมองที่มีต่อเพลงที่ผมคิดว่าดีที่สุดของน้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เผื่อเพลงนี้จะเป็นต้นแบบวิธีคิดในการเขียนเพลงเพื่อชีวิตเพลงอื่นๆต่อไป อยากฟังเพลงเพื่อชีวิตเพราะๆครับ

เพลงตังเกอยู่ในชุดคนจนรุ่นใหม่ ปี พ.ศ. 2533
ใครที่ยังไม่เคยฟังเพลงนี้ลองหามาฟังนะครับ เพลงเค้าเพราะจริงๆ

เพลง ” วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ” จินตนาการ ของชายผู้ผิดหวัง

 

เพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า (Into the Woods) – แม็กซ์ ณัฐวุฒิ เจนมานะ

เนื้อร้อง: MXJMN and The Unicorn
ทำนอง: MXJMN and The Unicorn
Arrangement and programming – Vincent
Vocal – แม็กซ์ เจนมานะ
Chorus – หญิง พรปวีณ์ ตันกิจจานนท์
Acoustic Guitar – แม็กซ์ เจนมานะ
Electric Guitar – Vincent
Bass – วรเชษฏฐ์ ฐานุพงศ์ชรัช
Drums – มีศิลป์ พูลสวัสดิ์
Recording Engineer – จีรศักดิ์ ขวัญหวาน
Mixed and mastered by บุรินทร์ สุภัครพงษ์กุล
Recorded, mixed and mastered at Flow Space & Studio
—————————————————
Directed by : Anucha Ocharoen
Producer : Rueankhwan Sangburarat
Lighting by : Porpat Lavanamal
Director of photography : Premkamol Santiwattana
Production team : Vow-noy Production
Editing by : Vow-noy Production
—————————————————
เนื้อเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า
Verse 1
วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ฉันเจอนกตัวหนึ่ง
มันถามฉันว่าจะไปไหน ฉันจึงตอบ
อยากไปให้ไกล ไกลเกินกว่าที่ฉันเคยไป

Pre-Chorus
ถ้าเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า
อย่างน้อยก็ไม่ต้องพบเจอคน…

Chorus
ใจร้ายอย่างเธอ คนที่ไม่มีน้ำใจ ไม่มีเยื่อใยให้คนเคยรักกัน
ใจร้ายอย่างเธอ ต้องทิ้งให้อยู่คนเดียว เผื่อเธอเหงาขึ้นมาจะได้กลับมารักกัน

Verse 2
วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ฉันเจอเสือตัวใหญ่
มันถามฉันว่ากลัวบ้างไหม ฉันจึงตอบว่าไม่เท่าไร ยังดีกว่าคนไร้หัวใจ

Pre-Chorus
เมื่อเราปวดร้าว จงเดินเข้าป่า
อย่างน้อยก็ไม่ต้องพบเจอคน…

Chorus
ใจร้ายอย่างเธอ คนที่ไม่มีน้ำใจ ไม่มีเยื่อใยให้คนเคยรักกัน
ใจร้ายอย่างเธอ ต้องทิ้งให้อยู่คนเดียว เผื่อเธอเหงาขึ้นมาจะได้กลับมารักกัน
(คนใจร้าย/วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า)
—————————————————
ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่
www.facebook.com/max.jenmana
IG @maxjenmana
Twitter @maxjenmana
www.facebook.com/lofrecords

จรัลมิวเซียม ในวันฝนพรำ 21/6/57 โดย book.kerokero

นัดหมายกับลุงมานิด เข้าเยี่ยมชม จรัลมิวเซียม ที่รามอินทรา 109 ระหว่างที่เม็ดฝนไม่ขาดสาย ทำให้มีเวลานั่งคุยกับลุงมานิด ผู้จัดการส่วนตัวของคุณจรัลผู้ดูแลมิวเซียม นานนาน นิดนิด

ติดต่อจรัล มิวเซียม
 ตาม link เลยครับ
Continue reading จรัลมิวเซียม ในวันฝนพรำ 21/6/57 โดย book.kerokero

สองวัย-กระท้อน-ซูซู เพื่อชีวิตรวมการเฉพาะกิจ

สองวัย-กระท้อน-ซูซู เพื่อชีวิตรวมการเฉพาะกิจ

ถ้าว่ากันถึงความเข้มข้น วีระศักดิ์ ขุขันธิน ศักดิ์สิทธึ้ เชื้อกลางและระพินทร์ พุฒิชาติ ถือเป็นตัวแทนของคนเพื่อชีวิตContinue reading สองวัย-กระท้อน-ซูซู เพื่อชีวิตรวมการเฉพาะกิจ

เส้นทาง เพลงเพื่อชีวิต…09 เพลงเพื่อชีวิต ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน (2516-2519) ตอนที่3

เพลงเพื่อชีวิต ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน (2516-2519) ตอนที่3

วงดนตรีเพื่อชีวิตวงแรกที่สร้างความประทับใจให้แก่คนรุ่นนั้นเป็นอย่างมาก คือวงดนตรี “คาราวาน” ซึ่งถือว่าเป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีตContinue reading เส้นทาง เพลงเพื่อชีวิต…09 เพลงเพื่อชีวิต ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน (2516-2519) ตอนที่3

เส้นทาง เพลงเพื่อชีวิต…08 เพลงเพื่อชีวิต ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน (2516-2519) ตอนที่2

เพลงเพื่อชีวิต ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน (2516-2519) ตอนที่2

สุรชัย จันทิมาธร ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ถือกำเนิดบทบาทของการเป็นศิลปินเพื่อชีวิตขึ้นมาในเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมในการประท้วง คอยแต่งบทกลอนต่างๆ ส่งให้โฆษกบนเวทีอ่านให้ประชาชนฟัง เพื่อปลุกเร้ากำลังใจและรวบรวมความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเขาได้แต่งเพลง ” สานแสงทอง ” โดยเอาทำนองมาจากเพลง FIND THE COST OF FREEDOM ของวงดนตรี ครอสบี สติล แนช แอนด์ ยังก์ เนื้อร้องมีอยู่ว่าContinue reading เส้นทาง เพลงเพื่อชีวิต…08 เพลงเพื่อชีวิต ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน (2516-2519) ตอนที่2